ค้นหาบล็อกนี้

ต้อนรับจ้า

สวัสดีผู้ชมทุกท่าน >,

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ไม้ 3 อย่างประโยชน์ 4 ประการ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงผลกระทบจากการบุกรุกทำลายป่าไม้ของประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดภาวะแห้งแล้ง พื้นที่ต้นนํ้าลำธารเสื่อมโทรม ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตร กลายเป็นปัญหาทุกข์ร้อนของประชากรส่วนใหญ่ในชนบท พระองค์ทรงมีพระราชดำริในการพัฒนาฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ให้คืนกลับสู่สภาพธรรมชาติด้วยแนวทางผสมผสาน โดยการปลูกไม้ทดแทนควบคู่กับการพัฒนาอาชีพราษฎร
ด้วยการวางแผนร่วมมือกันของทุกส่วนราชการ ในการดำเนินการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์และสภาวะแวดล้อม


ไม้ 3 อย่าง
         ลักษณะไม้ 3 อย่าง เป็นชนิดไม้ที่มีความสัมพันธ์เกื้อกูลกับวิถีชีวิตของชุมชน คือ
         1.
ไม้ใช้สอยและเศรษฐกิจ เป็นชนิดไม้ที่ชุมชนนำไปใช้ในการปลูกสร้างบ้านเรือน โรงเรือน เครื่องเรือน คอกสัตว์
เครื่องมือในการเกษตร เช่น เกวียน คันไถ ด้ามจอบ เสียม และมีด รวมทั้งไม้ที่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องจักรสาน กระบุง ตะกร้า เพื่อนำไปใช้นำครัวเรือน และเมื่อมีพัฒนาการทางฝีมือก็สามารถจัดทำเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน นำไปจำหน่ายเป็นรายได้ของชุมชน ซึ่งเรียกว่า เป็นไม้เศรษฐกิจของชุมชน ได้แก่ มะขามป่า สารภี ซ้อ ไผ่หก ไผ่ไร่ ไผ่บง ไผ่ซาง มะแฟน สัก ประดู่ กาสามปีก จำปี จำปา ตุ้ม ทะโล้ หมี่ ยมหอม กฤษณา นางพญาเสือโคร่ง ไก๋ คูณ ยางกราด กระถิน เก็ดดำ มะหาด ไม้เติม มะห้า มะกอกเกลื้อน งิ้ว ตีนเป็ด ยมหอม มะขม มะแข่น สมอไทย ตะคร้อ เสี้ยว บุนนาค ปีบ ตะแบก ตอง คอแลน รัง เต็ง แดง พลวง พะยอม ตะเคียน ฮักหลวง เป็นต้น

2. ไม้ฟืนเชื้อเพลิงของชุมชน ชุมชนในชนบทต้องใช้ไม้ฟืน เพื่อการหุงต้มปรุงอาหาร สร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว
สุมควายตามคอก ไล่ยุง เหลือบ ริ้น ไร รวมทั้งไม้ฟืนในการนึ่งเมี่ยง และการอบถนอมอาหาร ผลไม้บางชนิด ไม้ฟืนมีความ
จำเป็นที่สำคัญ หากไม่มีการจัดการที่ดีไม้ธรรมชาติที่มีอยู่จะไม่เพียงพอในการใช้ประโยชน์ ความอัตคัดขาดแคลนจะเกิดขึ้น
ดังนั้นจะต้องมีการวางแผนการปลูกไม้โตเร็วขึ้นทดแทนก็จะทำให้ชุมชนมีไม้ฟืนใช้ได้อย่างเพียงพอ ได้แก่ ไม้หาด สะเดา
เป้าเลือด มะกอกเกลื้อน ไม้เต้าหลวง กระท้อน ขี้เหล็ก ตีนเป็ด ยมหอม ลำไยป่า มะขม ดงดำ มะแขว่น สมอไทย ตะคร้อ
ต้นเสี้ยว บุนนาค ตะแบก คอแลน แดง เต็ง รัง พลวง ติ้ว หว้า มะขามป้อม แค ผักเฮือด เมี่ยง มะม่วงป่า มะแฟน กาสามปีก มันปลา นางพญาเสือโคร่ง มะมือ ลำไย รกฟ้า ลิ้นจี่

 3. ไม้อาหารหรือไม้กินได้ ชุมชนดั้งเดิมเก็บหาอาหารจากแหล่งธรรมชาติ ทั้งการไล่ล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร รวมทั้งพืชสมุนไพร อดีตแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์จึงเป็นแหล่งอาหารเสริมสร้างพลานามัย การปลูกไม้ที่สามารถให้หน่อ
ใบ ดอก ผล ใช้เป็นอาหารได้ก็จะทำให้ชุมชนมีอาหารและสมุนไพร ในธรรมชาติเสริมสร้างสุขภาพให้มีกินมีใช้อย่างไม่ขาดแคลน ได้แก่ มะหาด ฮ้อสะพายควาย เป้าเลือด บุก กลอย งิ้ว กระท้อน ขี้เหล็ก มะขม มะแข่น สมอไทย ตะคร้อ เสี้ยว คอแลน ผักหวานป่า มะไฟ มะขามป้อม มะเดื่อ มะปีนดง เพกา แค สะเดา เมี่ยง มะม่วงป่า มะแฟน มะเม่า หวาย ดอกต้าง กระถิน
ก่อเดือย หว้า กล้วย ลำไย มะกอกเกลื้อน มะระขี้นก ประคำดีควาย ตะคร้อ กระบก ผักปู่ย่า มะเฟือง แคหางค่าง ขนุน มะปราง มะหลอด คอแลน มะเม่า ส้มป่อย

ประโยชน์ 4 ประการ
         ไม้ 3 อย่าง เมื่อปลูกไปแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ 4 ประการ คือ
         1.
ในสภาพปัจจุบันป่าไม้ลดลงเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง และเพียงพอ ดังนั้น เมื่อมีการปลูกไม้ที่มีความเหมาะสมและมีคุณสมบัติที่ดีเพื่อการใช้สอยและสามารถนำมาใช้เสริมสร้างอาชีพได้ โดยมีการวางแผนอย่างมีส่วนร่วมและดูแลรักษาก็จะทำให้ชุมชนมีไม้ไว้ใช้สอยอย่างไม่ขาดแคลน และจะไม่สร้างผลกระทบ
ต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และหากมีการปลูกในปริมาณที่มากพอ ชุมชนก็สามารถนำมาเสริมสร้างอาชีพเสริมได้ทำให้ชุมชนมีรายได้เสริมให้มีความอยู่ดีกินดีขึ้น

2. ไม้ฟืนเป็นวัสดุเชื้อเพลิงพื้นฐานของชุมชน หากชุมชนไม่มีไม้ฟืนไว้สนับสนุนกิจกรรมครัวเรือน ชุมชนจะต้องเดือดร้อนและสิ้นเปลืองเงินทอง เพื่อการจัดหาแก๊สหุงต้ม หรือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดหาวัสดุเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ



         3. พืชอาหารและสมุนไพรรวมทั้งสัตว์แมลง ที่ชุมชนสามารถเก็บหาได้จากธรรมชาติจะเป็นอาหารที่มีคุณค่าปลอดสารพิษ อันเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของคนในชุมชน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งถ้ามีปริมาณเกินกว่าที่ต้องการแล้วยังสามารถใช้เป็นสินค้าเสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย



         4. เมื่อมีการปลูกไม้เจริญเติบโตเป็นพื้นที่ขยายมากเพิ่มขึ้น และมีการปลูกเสริมคุณค่าป่าด้วยพันธุ์ต่างๆ ทำให้เกิดความหลากหลายและเป็นการอนุรักษ์ดินและนํ้า รวมทั้งก่อให้เกิดการอนุรักษ์พื้นที่ต้นนํ้าลำธาร

แหล่งที่มาข้อมูล http://sites.google.com/site/banrainarao/knowledge/tree_bank

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

5 สุดยอด "พิธีศพ" น่าขนลุกและสยองขวัญที่สุดในโลก


อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ ( Sutee Self-Immolation) 
 มันคืออะไรกันละเนี่ย?
การเผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)
สุตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956 และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)
ก็อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิดทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา
มีกรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุงจึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากองไฟใหม่
...ทำไมถึงทำแบบนี้ละ ? 
เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูกตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับหญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่าทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ?ว่ายังไง?”นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด
อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ ( Buddhist Self Mummification 

  มันคืออะไรกันละเนี่ย?
 (ใครดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั้งถึงช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900
มันง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผลแล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
การทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธคือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน
ต่อจากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยงของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจนท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล
แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว!ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ ?

 เดา.....คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา จะทำให้นักบวชวอกแวกได้

อันดับ 3พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial

มันคืออะไร
เป็นพิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบตเรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว (ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)
พระหนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว
                ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ

ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต ซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ

2.ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน ( Aboriginal Body Exposure

มันคืออะไร
เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า
อย่างไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.................กินศพญาติพี่น้องครับท่าน กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ
          เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา

1.ส่งศพท่องอวกาศ ( Space Burial)

มันคืออะไร
กวนจริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้ กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือSpace Funeral  ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ
ใช่!!  คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ http://www.memorialspaceflights.com ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่695$เท่านั้นเอง(ล่าสุดมีลูกค้าใช้เงินกว่า60,000 $เพื่อไปดวงจันทร์!!
เมื่อวันเสาร์ (28เม.ย.) ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า200คนขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี สก็อตต์ หรือ สก็อตตี้ หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิกขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ(นาซา)
รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์ เทร็คกว่า500คน ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทรายอันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ปล่อยจรวด ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี2548โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ495ดอลลาร์สหรัฐ (ราว17,000บาท)ไม่แพงใช่ไหมละ
                ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ

ง่ายๆ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์................

แหล่งที่มาข้อมูล http://samaphon.blogspot.com/2011/05/5.html

สตี พิธีสยองขวัญของอินเดีย

 

     สตีคือพิธีฆ่าตัวตายตามสามีที่เสียชีวิตไปของผู้หญิงอินเดียสมัยโบราณ
ด้วยการกระโดดเข้ากองไฟขณะไฟกำลังลุกไหม้ศพของสามี
ซึ่งมีทั้งผู้หญิงที่เต็มใจทำ  โดนกดดันจากสังคม โดนล้างสมองด้วยค่านิยมผิดๆ
และโดนจับโยนเข้ากองไฟโดยไม่เต็มใจ
ชาวอินเดียเชื่อว่าพิธีนี้เริ่มมาจากรานีองค์หนึ่ง
ชื่อนารยารานี เทวี ชายาของตันธัน ดัสผู้เสียชีวิตเพราะสุลต่านแห่งแคว้นฮีสสาอยาก
ได้ม้ามงคลเลยแย่งด้วยการสังหารสวามีของนารยารานี นางเสียใจมากเลยยอมตาย
พร้อมสวามีด้วยการกระโดดเข้ากองเพลิง  จากนั้นประชาชนก็เลียนแบบมาเรื่อยๆ
และตั้งชื่อนางว่า Rani Sati บริเวณทำสตีได้สร้างเป็นวัดฮินดู
มีแท่นหินอ่อนจารึกประวัติตรงจุดเผาตัวเอง  วัดรานีสตีนี้ยังมีสาขาอยู่ทั่วอินเดีย
มีการเฉลิมฉลองช่วงเดือนตุลาคมทุกปี
     แต่จากการขุดค้นของนักโบราณคดี
ที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณเมื่อปี 1978 ที่ตำบลหาดาห์ รัฐอุตตรประเทศ
ทำให้รู้ว่าพิธีสตีมีมานานเป็นหมื่นปีแล้ว ในคัมภีร์พระเวทริกะวิตาห้ามไม่ให้ทำพิธีสตี
(ต่อมาโดนบิดเบือนสนับสนุนพิธี) ส่วนในคัมภีร์กรุณาปุราณะ
และคัมภีร์ภควคีตาปุราณะ (ค.ศ 900) สรรเสริญความกล้าหาญของชายาพระกฤษณะ
ที่โดดเข้ากองไฟตามพระกฤษณะไปปรโลกทำให้ผู้หญิงอินเดียทั่วไปเอาอย่าง
พิธีสตีแพร่หลายในพวกคาเธีย (Kathia) ในแคว้นปัญจาบ
ดิโอโดรุส สิคูลุส (Diodorus Siculus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเมื่อ 300 ปี
ก่อน ค.ศ ได้กล่าวว่า  สตีเป็นพิธีใช้่ป้องกันการตายก่อนเวลาอันสมควรของสามี
ซึ่งหมายความว่าถ้าสามีตายอย่างปัจจุบันทันด่วนภรรยาก็ควรจะตายด้วย
เพราะสมัยนั้นนัยว่าภรรยาชอบวางยาพิษสามีมาก (คนอินเดียยุคหลังว่าแกใส่ไข่)
 
     พิธีสตีมารุ่งเรืองสุดขีดในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13-15
ที่เมืองวิชัยนาก้า (Vijayanagar)
จากบันทึกของนิโคโล คอนติ (Nicolo Conti) ชาวอิตาเลียนซึ่งไปวิชัยนาก้า
เมื่อปี 1420 ได้กล่าวว่า หญิงหม้ายแทบไม่เหลืออยู่ในเมืองเลย เพราะทุกคนทำสตี
ตายตามสามีหมด  ที่ไม่ทำเองก็โดนจับโยนเข้ากองไฟเป็นที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
บางครั้งมีนางสนมกว่า 3,000 คนต้องตายกองกันเป็นภูเขาเลากาน่าอนาถ 
เฟอนัว นูนิง (Fernao Nuning) ชาวโปรตุเกสไปวิชัยนาก้าเมื่อปี 1536
เล่าว่ามีมหาราชาองค์หนึ่งมีชายา 500 คน พอมหาราชาตายไปสนมทั้งหมดพร้อม
บริวารก็โดนเผาไปด้วย กลิ่นเนื้อไหม้ตลบอบอวลไปทั้งเมือง
นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่สุดจะทนดูได้
     พิธีสตีมี 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.  สหมรณะ  ฆ่าตัวตายตามวันที่เผาศพสามี
2.  อนุมรณะ  ฆ่าตัวตายตามวันหลัง (อยู่คนละเมืองไม่สะดวก) แม่หรือพี่สาวน้องสาว
ก็ทำนิยมทำสตีตามลูกชายพี่ชายเหมือนกัน
 
     Mary E.R. Matin เขียนถึงพิธีสตีในหนังสือ Woman in Ancient India
เมื่อปี 1817 ว่า ภรรยาที่ซื่อสัตย์เมื่อได้ข่าวการตายของสามีและมีความประสงค์จะ
อุทิศชีวิตให้  จะต้องทำตัวของเธอเองให้บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
ตามที่ปรากฏในถ้อยคำของพระหริ เธอจะสวมเสื้อผ้าย้อมสีแดงด้วยดอกกุสุมภะ
ขอบเสื้อขลิบด้วยไหมใช้ผงสีทาเปลือกตา สวมศีรษะด้วยมาลัยที่ทำด้วยดอกไม้หอม
ประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับต่างๆ  จากนั้นเธอจะเลือกหญิงสาว
ที่อยู่ในความดูแลของบิดาเธอมาสี่คน (ญาติ) แล้วให้ของขวัญที่มีสีแดงและดอกไม้
กำไลมือกระแจะจันทน์ที่ทาตาสีดอกอัญชัน  เสร็จแล้วเธอก็ให้สิ่งของแก่บิดามารดา
ของสามีผู้ล่วงลับ  ให้ของแก่พราหมณ์ลูกหลานและญาติแล้่วจึงก้าวเข้าสู่กองไฟ
   พิธีสตีจึงเป็นพิธีพิสูจน์รักแท้ของภรรยาที่ซื่อสัตย์ (เชื่อว่าทำแล้วสามีจะขึ้นสวรรค์)
และการฆาตกรรมสำหรับภรรยาที่ไม่ยินยอม
เมื่ออังกฤษปกครองอินเดียจึงสั่งให้ยกเลิกพิธีหฤโหดนี้เสียแต่ก็ยังมีคนทำอยู่เสมอมา

แหล่งที่มาข้อมูล http://talk.mthai.com/topic/78929

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเส้นผม

1. การตัดผมทำให้ผมแข็งแรงขึ้น หรืองอกใหม่ได้เร็วขึ้น
มารู้กันเลยว่าไม่จริง ผมไม่ใช่สนามหญ้าจะได้งอกหลังตัด ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงเชื่อกันแบบนี้ (ความจริงผู้เขียนก็เชื่อเหมือนกัน) แต่คาดว่ามาจากการสังเกตเห็นหนวดเคราของผู้ชายที่ขึ้นได้เร็ว ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกับขนบนหน้าและผมของคุณ ผลของการตัดผมให้สั้นก็คือ คุณได้ผมสั้นลงเท่านั้น ส่วนการงอกของผมจะงอกได้เกือบครึ่งนิ้วต่อเดือน

2. ผมแตกปลายสามารถซ่อมแซมได้

ข่าวร้ายแต่จริงก็คือ หากมีผมแตกปลายอย่าเสียเวลาซ่อมแซม แต่ให้ตัดผมแตกปลายออกทันที ไม่เช่นนั้นจะแตกมากขึ้นหรือผมเสียมากขึ้น

3. การแปรงผมดีต่อผม

อันนี้มาแปลก เพราะใคร ๆ ก็ว่าแปรงผมเป็นเรื่องดี แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านผมกลับบอกว่าการแปรงผมเป็นเพียงการตกแต่งทรงผมให้ดูดีเท่านั้น ไม่ใช่ทำให้ผมสวยงามมากขึ้นแต่อย่างใด

4. หมวกรัด ๆ จะทำให้ศีรษะล้าน

เดาว่าข่าวลือนี้คงมาจากค่ายทหารเพราะทหารจะต้องใส่หมวกขณะปฎิบัติหน้าที่จนหัวล้านหรือไม่ก็ผมบางลง แต่ความจริงก็คือ การสวมหมวกนาน ๆ ทำให้ผมเสียหรือแตกปลาย

5. ผมอาจกลายเป็นสีเทาหรือสีขาวภายในคืนเดียว

ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าความเชื่อนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนสีผมต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในคืนเดียว

6. รังแคเกิดจากหนังศีรษะแห้ง

รังแคและหนังศีรษะแห้งไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่การใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสมจะสามารถดูแลหนังศีรษะที่แห้งให้หยุดลอกออกมาได้ ส่วนรังแคเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องการการรักษาโดยแพทย์ โดยที่เห็นร่วงออกมาเป็นชั้นสีขาวไม่ได้เกิดจากอาการแห้งแต่เป็นอาการมันและมีน้อยคนมากที่จะมีรังแค คงต้องให้คุณหมอตรวจดูว่าคุณเป็นรังแคหรือไม่

แหล่งที่มาข้อมูลhttp://www.mumdochata.com/khumroo/EL30.html

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

25 ความเชื่อแปลกๆ ในวัยเด็ก...

1.เห็นคนโป๊จะเป็นตากุ้งยิง  ((แล้ว---พวกดูหนังโป้ ล่ะ ตาคงเป็นมะเร็งเนอะ ::: คนโพส))

2.คิดว่าด้วงเป็นแมลงสาบที่แข็งแรง

3.จิ้งจกคือตะพาบถอดกระดอง (( ไม่เคยคิดอ้ะ ::: คนโพส ))

4.ตุ๊กแกเป็นพ่อจิ้งจก (( ไม่เคยคิดอ้ะ  (จริงๆนะ)::: คนโพส ))

5.จิ้งจกโตขึ้นไปเรื่อยๆจะกลายเป็นจระเข้

6.ถ้าไม่ตั้งใจเรียนเขาจะงอกเป็นควาย  (( ปัจจุบันก็เป็น เขางอกซ้อนกันเลย ::: คนโพส ))

7.ถ้าเอากิ้งกือมาต่อกันจะได้กิ้งกือตัวยาวๆ

8.ถ้าดูดนิ้วไปเรื่อยๆนิ้วจะงอกขึ้นมาอีกนิ้ว

9.ถ้าถูกยุงกัดเยอะๆแล้วเลือดจะหมดตัว

10.เด็กผู้หญิงคือเด็กผู้ชายที่วิ่งซนแล้วช้างน้อยหล่นหาย ((5555555555555 ))

11.ถ้าชี้รุ้งกินน้ำแล้วนิ้วจะกุดต้องแก้เคล็ด ((เออว่ะ เคยแก้เคล็ดด้วยการกัดนิ้ว แหม เลือดซิบกันเลยทีเดียว :: คนโพส))

12.ถ้ากลืนเม็ดแตงโมเข้าไปมันจะงอกออกมาทางสะดือ

13.เอาไม้หนีบผ้าหนีบจมูกแล้วจมูกจะโด่ง

14.คิดว่าตุ๊กแกกินตับ

15.ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ยืนหลับอยู่

16.คิดว่าแม่ชีเป็นเมียของพระ

17.แล้วลูกของพระคือเณร

18.คิดว่านอนเตียงเดียยวกันแล้วจะท้อง

19.ถ้าไว้ผมยาวจะดูหล่อ

20.วันวาเลนไทน์ต้องติดสติกเกอร์รูปหัวใจ

21.เชื่อว่าฉีดยาเจ็บเท่ามดกัด

22.ถ้าได้เรียน?ถาปัดจะดูหล่อๆเท่ๆ

23.เรอคือตดที่ออกจากปาก

24.ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก

25.อิจฉาที่ญี่ปุ่นมียอดมนุษย์เยอะ
แหล่งที่มาข้อมูลhttp://www.rak-mor-or.com/forum/index.php?topic=3985.0

เรื่องจริง ! ความเชื่อแปลกๆ ฉบับมหาลัย

1. มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกคือ "มหาวิทยาลัยโบลัญญ่า" ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี

2. "สถาบันเทคโนฯลาดกระบัง" เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียว ที่มีทางรถไฟตัดผ่านกลางมหาวิทยาลัย

3. คำว่า "ไปสดใส" ในความหมายของเด็ก "ม.บูรพา" คือไปกินข้าว เล่นเนต พิมพ์งาน เหล่หญิง

4. หอหญิง 2 กับ 3 ที่ "ม.เชียงใหม่" เป็นตึกรูปแปดเหลี่ยมและรูปสายฟ้า เพราะสร้างบนเมืองเก่า จึงออกแบบมาเพื่อแก้เคล็ด

5. นักศึกษา "เอแบค" ที่จำเป็นต้องใส่รองเท้าแตะ หรือหญิงที่ต้องการแต่งชาย และชายต้องการแต่งหญิง ต้องทำใบขออนุญาตจากทางมหาวิทยาลัย

6. กระโปรงนิสิต "ม.เกษตร" รุ่นแรกๆ เป็นสีเขียว

7. "ม.ราชภัฏสวนดุสิต" อนุญาตให้ผู้หญิงใช้สระว่ายน้ำได้เท่านั้น

8. เมื่อก่อนไม่มีรั้วรอบ "ม.รังสิต" แต่มีรถจอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย คนจึงคิดว่ารถนั้นเป็นรั้ว

9. สัญลักษณ์ของคณะวิศวะ "ม.มหิดล" ไม่ใช่เกียร์ แต่เป็นน็อตตัวเมีย

10. มีความเชื่อว่า หากได้ลอยกระทงกับคนที่ชอบ ณ สระน้ำ "จุฬาฯ" หน้าหอประชุม จะได้เป็นแฟนกัน

แต่ถ้าเป็นแฟนกัน แล้วพากันมาลอยล่ะก็ รับรองกระทงหลงทาง จากนั้นเลิกกันชัวร์ๆ

11. เพลงประจำของ "ม.ศิลปากร" เป็นภาษาอิตาลี

12. "ม.รามคำแหง" มีข้อแนะนำว่าวันที่ไปสมัครเข้าเรียน ไม่ควรพาผู้ปกครองไปด้วย

14. "ม.เกษตร" มีตำนานว่าถ้าหนุ่มสาวคู่ไหนขี่จักรยานผ่าน Loving Way ทางเล็กๆ ที่มีทิวสนเสริมความโรแมนติก

ข้างทางคณะเกษตรฯ...ก็จะได้เป็นแฟนกัน แต่ถ้าเกิดหลงเข้าไปใน Black Way มีสิทธิ์กินน้ำตาแทนข้าวแน่ๆ

15. โรงละคร แบล็ค บอกซ์ ที่ "ม.กรุงเทพ" เป็นโรงละครที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย

16. นักศึกษาที่ "ม.หอการค้าไทย" เชื่อว่าห้ามสบตาเต่าในบ่อน้ำ ไม่งั้นจะเรียนไม่จบ

17. ร้านน้ำชาสุดฮิตที่ "ม.สงขลานครินทร์" ชื่อ "สวนลุงเจิม"

18. เชื่อว่าถ้าใครตกปลาที่บ่อน้ำของ "ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ" คนนั้นจะติด F

19. "ม.รังสิต" มีสนามกอล์ฟเป็นของตัวเอง

20. รถโดยสารภายใน "จุฬาฯ" เรียกกันติดปากว่า "รถป็อป" ซึ่งมีที่มาจาก "รถ ปอ.พ."

21. รถของ "ม.เกษตร" จะเรียกว่า "รถตะลัย" ซึ่งมีชื่อเรียกเต็มๆว่า รถตระเวณทั่วมหาวิทยาลัย และที่ "มช." รถโดยสารจะเรียกว่า "ขส.มช."

22. ตำรวจจราจรคนหนึ่งที่หน้า "ม.ราชภัฏสวนดุสิต" ถูกนักศึกษาเรียกกันว่า "ลุงโดเรมอน" เพราะรูปร่างคล้ายมั่กๆ

23. "ไข่ต้ม" เป็นสิ่งที่นักศึกษา "ม.สงขลานครินทร์" นำมาแก้บนกับอนุสาวรีย์พระบิดา

24. ห้องน้ำหญิงชั้นบนสุดของตึกเอ คณะวิศวะที่ "ลาดกระบัง" มีศาลพระภูมิอยู่

25. เชื่อว่าถ้าเหยียบเส้นที่ถนนตรงซุ้มแดง หน้าตึกสิบเก้า "ม. ปัตตานี" จะเหมง (ไม่มีแฟน)

26. การพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของไทย จัดที่ห้องประชุมตึกบัญชาการ หรือตึก 1 คณะอักษรศาสตร์ "จุฬาฯ" ในปัจจุบัน

แหล่งที่มาข้อมูล http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=304027

ความเชื่อแปลก ๆ

ชาวโรมัน
- บูชาเตาไฟ เพราะเชื่อว่ามีเทพเจ้าเวสต้าประจำอยู่ จึงไม่เคยปล่อยให้ไฟในครัวเรือนมอดดับ เวลาจะย้ายบ้าน ต้องเอาไฟจากเตาเดิมไปด้วย หากไฟมอด เชื่อว่าบ้านนั้นจะเกิดความแตกแยก หรือเกิดเคราะห์ร้าย
- ไม่โยนเปลือกไข่เข้าไปในเตาไฟ เพราะเชื่อว่าไก่จะไม่ไข่อีกต่อไป

ชาวยุโรปทั่วไป
- ถ้าอบขนมปังแล้วขนมไม่ฟูขึ้นมา แสดงว่ามีปีศาจร้ายแฝงตัวอยู่ในขนมปัง จึงต้องกรีดหัวขนมปังให้เป็นรูปกากบาทเพื่อให้ปีศาจหลุดออกไป
- เวลากินขนมปัง ไม่ควรเฉือนปลายทั้งสองข้าง เพราะปีศาจจะหลุดออกมาล่องลอยไปทั่วบ้าน ต้องเฉือนปลายข้างหนึ่งแล้วกินไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ
- หากเอามีดวางไขว้ทับกัน จะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ต้องรีบแก้ไขโดยการแยกมันออกจากกัน
- ถ้าทิ้งผ้าปูโต๊ะสีขาวไว้บนโต๊ะตลอดทั้งคืน ความสับสนวุ่นวายจะเกิดขึ้น
- ห้ามไม่ให้มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารจำนวน 13 คนพอดี เพราะจะนำมาซึ่งความโชคร้าย (ความเชื่อนี้มาจากการรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของเยซูคริสต์ ที่มี จูดาส ร่วมวงเป็นคนที่ 13 บ้างก็ว่าเกิดจากตำนานของพวกนอร์ส ขณะที่เทพทำการเฉลิมฉลองกัน โลกิ เทพแห่งความแตกแยกก็ปรากฏขึ้นเป็นคนที่ 13 พอดี และได้ทำให้เกิดเหตุพิพาทกันขึ้น จนเป็นเหตุให้ บัลเดอร์ เทพฝ่ายดีองค์หนึ่งต้องตาย)
- ไม่เดินลอดบันไดที่วางพิงไว้กับตัวบ้าน จะทำให้เกิดโรคภัยขึ้นกับตนเอง (บ้างก็ว่าความเชื่อนี้มาจากการที่ การลอดใต้บันได ทำลายสัญลักษณ์สามเหลี่ยมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แรก ๆ ทางศาสนา ที่หมายถึง พระบิดา พระบุตร และพระจิต บ้างก็ว่าเกิดจากตะแลงแกงที่ใช้แขวนคอนักโทษสมัยก่อน ทำโดยผลักนักโทษลงจากบันได ตัวจะห้อยร่องแร่งอยู่ใต้บันได โดยมีเชือกแขวนคออยู่)

ชาวสก็อต
- ถ้าหงส์สามตัวบินเรียงกันมาบนท้องฟ้า หายนะจะบังเกิดแก่ประเทศชาติ
- เสื้อสีแดงกับสีเขียว ไม่ควรนำมาสวมใส่ด้วยกัน
- ถ้ายืนเอาหลังพิงประตู จะเกิดโชคร้าย
- ไม่ควรส่งจดหมายรักในวันคริสต์มาส เพราะจะเกิดความแตกแยก พลัดพราก
- หากเดินถือจอบเสียมเข้าบ้าน ไม่ช้าจะต้องมีการขุดหลุมฝังใครบางคน

ชาวไอริช
- การเอาเศษหักพังของศิลาจารึกหลุมศพมาใช้สร้างบ้าน ทำให้คนที่อยู่บ้านนั้นไม่มีความสุข
- ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางสนาม มักมีเทพเจ้าคุ้มครองอยู่ หากทำลาย หรือไม่ปฏิบัติด้วยดีจะถูกลงโทษให้มีเคราะห์ร้าย

ชาวมอลต้า
- นาฬิกาในโบสถ์จะต้องมีสองหน้าปัด ด้านหนึ่งบอกเวลาที่ถูกต้อง อีกด้านหนึ่งบอกเวลาผิด ๆ เพื่อให้ปีศาจสับสน

ชาวไอซ์แลนด์
- หากยิงนกนางนวลที่บินตามเรือมา จะทำให้โชคร้าย หรือเรือล่ม
- คนโสด หากนั่งที่หัวมุมโต๊ะจะไม่ได้แต่งงานไปอีกนานถึง 7 ปี
- หญิงมีครรภ์ที่ดื่มน้ำจากแก้วปากบิ่น ลูกที่เกิดมาจะปากแหว่ง

ชาวฮอลแลนด์
- หากแตะต้องสิ่งที่ทำจากไม้ ควรจับส่วนที่ไม่มีการทาสีจะดีที่สุด เช่น ใต้โต๊ะ (คงลำบากน่าดูนะประเทศนี้)

ชาวจีน
- ผู้ที่ตายด้วยอุบัติเหตุ หรือโดนฆาตกรรม วิญญาณจะกลับมาล้างแค้นในวันที่เจ็ดหลังจากวันตาย

ชาวไนจีเรีย
- การกวาดบ้านตอนกลางคืนจะทำโชคร้ายมาให้ครอบครัว แต่หากตื่นมากวาดตอนเช้าเป็นภารกิจแรก จะช่วยขับไล่ปีศาจออกไปจากบ้าน

ชาวญี่ปุ่น
- อย่าหยิบหวีโดยให้ด้านที่เป็นซี่หันเข้าตัวเอง เพราะจะทำให้เกิดเคราะห์ร้าย
- การฆ่าแมงมุมตอนเช้าตรู่อาจทำให้เสียสติได้ (อันนี้ผมคิดไม่ออกจริง ๆ นะว่ามันมีเหตุผลอะไรแฝงอยู่)

แหล่งที่มาข้อมูล http://www.indepencil.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B9%86/